เทศน์เช้า วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ไปวัด หลวงปู่ฝั้นบอกว่า ไปวัดคือไปวัดหัวใจเรา เราบอกไปวัดต้องมีโบสถ์ มีวิหาร มีสิ่งปลูกสร้างที่เราไปแล้วร่มรื่นเย็นใจ แต่การไปวัดของเรา เห็นไหม ไปวัดป่ามีแต่ต้นไม้ มีแต่ธรรมชาติ เพื่อให้จิตใจนั้นอ่อนโยน ถ้าเรามีแต่ความแข็งกระด้าง จิตใจเรามีแต่ความแข็งกระด้าง แล้วไปสู่ความกระด้างนั้น แล้วโลกก็แข่งขันกันทางศักยภาพ
แต่ดูธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ในสังคมมีทั้งคนติฉินนินทาและคนสรรเสริญ จะมีคนสรรเสริญอยู่อย่างเดียว หรือมีคนติฉินนินทาอยู่อย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ เพราะวุฒิภาวะของใจแต่ละคนไม่เหมือนกัน จิตใจคนที่สูง เขามองเห็นแต่สิ่งที่มีคุณงามความดีงามนั้น ความดีงามนั้นเป็นศีลธรรมใช่ไหม? มันไม่ใช่วัตถุ
คนหยาบมองเห็นแต่วัตถุ สิ่งที่เป็นข้าวของนั้นว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติ แต่คนที่มีจิตใจสูงส่งเขามองว่าศีลธรรมจริยธรรมในหัวใจนั้นเป็นสมบัติ สิ่งที่เป็นบุญกุศลในหัวใจนั้นเป็นสมบัติ สิ่งที่เป็นสมบัติ เห็นไหม จิตใจอ่อนโยน จิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจเป็นประโยชน์ เห็นไหม เขาบอกเขาใหญ่เป็นที่มีโอโซนอันดับ ๘ หรืออันดับ ๓ ของโลก ทำไมเรารู้ได้อย่างไรล่ะ?
โอโซนนี่ทำไมเรารู้ได้ ทำไมอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์เราต้องการล่ะ? ทำไมเราไม่ต้องการที่อากาศเป็นพิษล่ะ? อากาศที่เป็นพิษทุกคนก็ไม่ต้องการ อากาศที่เป็นพิษ เห็นไหม ดูสิเวลาเขาทำอุตสาหกรรม ถ้าอากาศเป็นพิษนะเขาถึงกับเสียชีวิตได้เลย แม้แต่สูดเข้าไปก็ตายแล้ว แต่เวลาหัวใจที่มันคิด มันเป็นพิษ มันคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีเหยียบย่ำเรา เราทำไมไม่ปฏิเสธมัน ที่เรามาฟังธรรมะกัน มาวัดกัน เรามาวัดกันเพื่อเหตุใด? เห็นไหม
หลวงปู่ฝั้นบอก ไปวัดไปวัดใจ วัดใจเราไง ข้อวัตรปฏิบัติไง ข้อวัตร วัฏฏะ วัตรคือข้อวัดใจของเรา นี่อารามิกเป็นผู้ที่ไม่มีเรือน ผู้ไม่มีบ้าน ไม่มีเรือน ไม่มีสมบัติสิ่งใดเลย เป็นผู้เสียสละออกมาบวช มีสมบัติเป็นบริขาร ๘ เท่านั้น มีผ้า ๓ ผืน มีบาตร ๑ ใบ นี่มีบริขาร ๘ เท่านั้นเป็นสมบัติ แล้วภิกขาจารไป ดำรงชีวิตไป
ชีวิตนี้อยู่บนศรัทธาของชาวพุทธ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.. อุบาสก อุบาสิกาเขาต้องการปรารถนาความดีของเขา เขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาเสียสละปัจจัยของเขา เสียสละสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของเขาเพื่อใส่บาตร ตกบาตรพระ ให้พระดำรงชีวิต เห็นไหม ดำรงชีวิตไว้เพื่อเหตุใด? ดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้าหาความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจไง
สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์มันมาจากไหน? เริ่มต้นถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์มา เห็นไหม เวลาไปเริ่มต้นนี่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีลขึ้นมา เวลาไปนั่งกำหนดพุทโธ ไปทำความสงบของใจ ใจมันจะสงบเข้ามาได้เพราะอะไร? เพราะมันเป็นศีลไง
ทุศีล! ถ้าศีลมันไม่สะอาดบริสุทธิ์มันทุศีล พอไปนั่งนะ ถ้าคนจิตใจเข้มแข็งเขาก็พยายามกดของเขาได้ แต่ถ้าคนจิตใจไม่เข้มแข็งนะ พุทโธนะ พุทโธเอ็งก็หลอกลวงตัวเอง
นี่ความลับไม่มีในโลกนะ ความลับไม่มีในโลก ใครเป็นคนทำ? จิตใจคนไหนเป็นคนทำมันก็รู้ ถ้าทุศีลมันก็รู้ว่ามันทุศีล ถ้ามันผิดศีลมันก็รู้ว่ามันผิดศีล แล้วมันมีวิตกกังวล มันเป็นนิวรณธรรมมากางกั้นสมาธินี่มันจะทำได้ง่ายไหม? เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเรามีศีลใช่ไหม? เรามีศีล มีความสะอาดบริสุทธิ์นะ นี่เวลาเราธุดงค์มา อยู่ในป่าในเขาคนถามบ่อย
หลวงพ่อใช้คาถาอะไร?
คาถาศีลนี่แหละ!
ถ้าศีลมันสะอาดบริสุทธิ์ เราอยู่ในป่าในเขา เขาธุดงค์ไปนี่มันจะเผชิญสิ่งใดล่ะ? ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน นี่เผชิญกับช้าง เผชิญกับเสือ เผชิญกับต่างๆ ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันคาบกูไปเลย! คาบกูเอาไปกินเลย! ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันนะ แต่มันก็ไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน เพราะเราธุดงค์มานี่ ไม่ใช่ว่ามาโม้นะ เราไปกับพระเป็นพยานได้ ไปเป็นกลุ่มเลย เรานั่งขวางทางมันเลย ช้างก็ช้าง เสือก็เสือ นั่งขวางทางมันเลย นี่พิสูจน์กันว่าพระกับพระแข่งดีกัน
พระก็ว่า ไปป่านี่เอ็งใจถึงไหม? เอ็งกลัวไหม?
เราบอก ไม่กลัว
ไม่กลัวนั่งเลย
นี่เวลามันมานะ พอเรานั่งเสร็จแล้วเขาก็ขึ้นปีนต้นไม้กัน ดูว่าเรานั่งอยู่ในกลด นี่ไง เพราะอะไร? เพราะเรามั่นใจในศีลไง มั่นใจในความสะอาดบริสุทธิ์นั้น แล้วถ้ามันมีเวรกรรมต่อกันล่ะ? คนมันมีเวรมีกรรมได้นะ ถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหนก็แล้วแต่ ถึงคราววาระที่กรรมมันให้ผลมันก็เป็นตามนั้นล่ะ ถ้าคราววาระกรรมมันให้ผลนะ คาบไปเลย! คาบไปเลย! กูยอมตาย เพราะเราต้องการอย่างนั้นนะ
นี่พูดถึงถ้าเราธุดงค์ไป เราเลี้ยงชีพโดยชอบไง ถ้าเลี้ยงชีพโดยชอบ นี่สิ่งนี้มันมาโดยชอบธรรม ถ้าความชอบธรรมนะ เราก็ต้องการความชอบธรรม หลวงตาท่านบอกว่า เวลาท่านเสียสละ ท่านให้ของใคร ท่านให้ด้วยความเป็นธรรม ผู้ที่ได้ไปใช้สอยนั้นเป็นธรรมไหม? ถ้าเป็นธรรมมันก็ส่งเสริมกัน ถ้ามันไม่เป็นธรรมมันก็แค่นั้นแล้วก็จบ
นี่เวลาโลกมันเป็นแบบนั้น เราจะหวังให้คนอื่นดีก่อน แล้วเราจะดีไปพร้อมเขานี่มันไม่มีหรอก เราจะต้องดีของเรา หลวงตาท่านสอน คำนี้เราจำแม่น แล้วพูดบ่อยมาก
ใครจะดีจะชั่วก็ช่างเขา เราจะทำความดีว่ะ! เราจะทำความดีของเรา ใครจะดีจะชั่วก็ช่างเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ!
เราทำของเรา แต่! แต่พอทำของเรานะ หลวงตาท่านพูดอีกน่ะว่า ในโลกนี้ถ้าเขามองนะว่าคนโง่คือคนไม่หาผลประโยชน์ หลวงตาท่านบอกว่าท่านโง่ที่สุด เพราะท่านหาสิ่งใดมาท่านก็เสียสละเป็นของสาธารณะ สิ่งใดที่ท่านหามานะท่านทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับชาวโลก แล้วนี่สิ่งที่ท่านหามานะ แล้วเวลาทางโลกเขาก็ต้องตักตวงผลประโยชน์ เขาต้องตักตวงสิ่งนั้น เห็นไหม ถ้าเป็นทางโลกเขาว่าโง่ที่สุด คือไม่แสวงหาสิ่งใด แต่ท่านบอกถ้าเป็นทางธรรมท่านฉลาดที่สุด เพราะท่านไม่มีสิ่งใดติดไม้ติดมือท่านไปเลย ท่านวางไว้กับโลกนี้หมด
นี่สมบัติของโลกที่หาได้ เวลาท่านทำบุญโครงการช่วยชาติ เขาบอกว่าสิ่งที่ได้มานี่เงินทองมหาศาลๆ ท่านบอกสิ่งนั้นเป็นปลายเหตุ สิ่งที่ต้นเหตุคือหัวใจของสัตว์โลก นี่เขาจะรู้ เขาจะไม่รู้ เขาได้เสียสละมันเป็นสมบัติของเขาแล้ว เขาจะรู้หรือไม่รู้นะ บางคนรู้ รู้หมายถึงว่าเขามีความศรัทธา มีความเชื่อ มีความพอใจของเขา เขาทุ่มเทของเขา เพราะเป็นโอกาสทองของเขา
คนที่ไม่รู้ ไม่รู้กระแสสังคมเขาตื่นตัวกัน เราก็ไปตามกระแสสังคม เห็นไหม ความรับรู้น้อย ความรับรู้มาก เจตนาน้อย เจตนามาก มันเข้าสู่ใจ เหมือนกับเราเปิดบ้าน สิ่งที่เวลาเปิดบ้านกว้างมากอากาศจะเข้าได้มาก เราเปิดได้น้อยอากาศจะเข้าได้น้อย เจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เจตนาลึกซึ้ง เจตนานี้กว้างขวาง นี่มันจะเข้าดูดดื่มในหัวใจของเรา
เขาบอกคนถึงจะรู้หรือไม่รู้เขาได้ทำของเขา ท่านเป็นผู้นำ ท่านทำของท่าน เห็นไหม นี่เวลาโลกเห็นกัน ใจหยาบ ใจละเอียด มันก็แตกต่างกันไป ถ้าใจละเอียดนะ นี่พูดถึงเวลาสังคม เราต้องมองสิ่งสภาวะแวดล้อม แล้วก็มองเข้ามาที่ใจเรา ใจเรา เห็นไหม นี่เวลาหลานพระสารีบุตรไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พอใจสิ่งนั้น ไม่พอใจสิ่งใดเลย ไม่พอใจเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาพระสารีบุตรมาบวช
ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ ความคิด ความรู้สึกที่ไม่พอใจเขา เธอก็ต้องไม่พอใจตรงนี้ด้วย ไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่พอใจเขาด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง
นี่พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้ อารมณ์ความรู้สึกนี่เป็นวัตถุอันหนึ่ง เห็นไหม เรามองแต่วัตถุภายนอก สิ่งที่เป็นวัตถุจับต้องได้ว่าเป็นวัตถุๆ สิ่งนั้นจับต้องได้เพราะมันเป็นสสาร แต่เราไม่มองความคิดเราเป็นสสาร ไม่มองธาตุรู้ ธาตุรู้นี่สสารที่มีชีวิต ไม่มองความคิด ไม่มองความรู้สึกมันก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้าสติมันทันมันก็จับได้
เราเสียสละวัตถุจากภายนอกเข้ามา สิ่งภายนอกเป็นวัตถุ เห็นไหม วัตถุเราไม่ต้องการ เราต้องการนามธรรมเพราะมันจะเข้ากับหัวใจ แต่เวลาจิตใจมันเป็นความคิดความรู้สึก มันก็เป็นวัตถุอันหนึ่งเหมือนกัน แต่เราจับไม่ได้เพราะมันเป็นเราๆ เพราะมันมีเราบวกเข้าไปไง ความคิดเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา เราได้ผลประโยชน์ เราได้สิ่งต่างๆ เป็นของเรา ถ้าเราเสียสละไปไม่ใช่ของเรา
แต่ในทางปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าเราวางได้เป็นของเรา ถ้าเราวางไม่ได้เรามีแต่ความทุกข์ อมทุกข์ไง คิดแล้วคิดเล่า คิดให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ นั่นล่ะของเราๆ ของเราคือความทุกข์ไง แต่พอมันวางได้ๆๆ เห็นไหม ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา มีความสุข เออ.. ว่าง โล่ง สบาย ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา แล้วไม่ใช่ของเรามันไปไหนล่ะ? เดี๋ยวมันก็เกิดอีก มันก็เกิดดับๆ ในใจ แต่ถ้าปัญญามันละเอียดเข้ามา ถ้าจิตใจคนมีหลักมีเกณฑ์นะ นี่พฤติกรรมมันฟ้องเข้ามา มันฟ้องถึงพฤติกรรม
ถ้าพฤติกรรมสิ่งใดนี่เราเปลี่ยนโปรแกรมของคน คนๆ นี้เป็นสภาวะแบบนี้ แล้วเวลาคุยธรรมะกัน ถ้าเขามีความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนคิดความรู้สึกของเขา เปลี่ยนโปรแกรมของเขา ชีวิตเขาเปลี่ยนไปเลย.. เปลี่ยนไปเลย เห็นไหม คนเรานี่ใช้ชีวิตสภาวะแบบนั้น พอเขาเปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนความนึกคิด เขาเห็นโทษของเขา เห็นเบียดเบียนคนอื่น เขาเบียดเบียน เขาเสียดสี เขาทำให้คนอื่นเดือดร้อน เขาไม่ทำก็จบ
แล้วถ้าไม่ทำเบียดเบียนคนอื่น แล้วไม่เบียดเบียนตนนี่ไม่เบียดเบียนตนอย่างไร? เห็นไหม เวลามันโกรธนะมันเบียดเบียนตนก่อน อู๋ย.. หน้าดำคำเครียดนะ แล้วก็วางแผนแล้วนะ พอมีอะไรในใจนะเริ่มวางแผนแล้ว วางแผนนะขุดบ่อล่อปลา วางยา นี่มันวางแผนแล้วนะ นี่เวลามันทำลายตนมันไม่รู้ แล้วพอมันทำลายคนอื่นแล้วมันพอใจ มันสะใจ นี่ไงเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ให้ชนะตนเองให้ได้
ชนะกองทัพคูณด้วยล้าน จะชนะใครก็แล้วแต่ คนที่เราชนะเขามานี่เขาเสียใจ สร้างเวร สร้างกรรมทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราชนะอารมณ์เรา เราชนะความรู้สึกนึกคิดเรา ประเสริฐที่สุด ถ้าเราชนะเราได้ประเสริฐที่สุด ฉะนั้นมันชนะได้ยาก ฉะนั้นพระเราเวลาบวชมาแล้ว เห็นไหม ออกป่าออกเขา แบกบริขารไปในป่าไปหาใคร? ก็ไปหาหัวใจดวงนี้
เวลาอยู่ด้วยกันมองไม่เห็นนะ มองแต่คนอื่น คนนั้นทำลายเรา คนนี้ทำลายเรา เวลาไปอยู่ในป่าใครทำลายล่ะ? กลัวผี ใครหลอกล่ะ? อ้าว.. กลัวเสือกลัวสาง ใครหลอกล่ะ? ก็เราคิดขึ้นมาเองทั้งนั้นแหละ นี่พอมันเข้าไปอยู่ในป่าก็จะไปเอาชนะเรานี่แหละ เพราะไปค้นคว้าหาเรานี่แหละ แต่พอมันค้นคว้าหาเรา มันมีสติปัญญาขึ้นมา มันเริ่มจับตัวเราได้ เห็นไหม
โลกนี้มีเพราะมีเรา จะมีเราหรือไม่มีเราโลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ จะมีเราหรือไม่มีเราสังคมก็เป็นแบบนี้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมเพราะบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเกิด เห็นไหม เกิดสหชาติ ผู้เกิดร่วม สังคมจะได้มีธรรมะ ธรรมะมีเป็นครั้งเป็นคราว เป็นกาลเวลา
นี่ตอนนี้ฟอสซิลเขาพิสูจน์แล้ว โลกนี้ ๔๐๐-๕๐๐ ล้านปี เวลาสิ่งต่างๆ ฟอสซิลที่เขาพิสูจน์ขึ้นมาแล้ว แล้วเวลามันว่างจากที่เราศึกษากันอยู่นี้ ว่างจากธรรมะที่เรากำลังแสวงหากันอยู่นี้ มันว่างหมายถึงว่าไม่มีใครเชื่อถือเลย แล้วไม่มีใครเลย พอไม่มีใครเชื่อถือนะว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่ไหน? พระอรหันต์ก็กราบกัน กราบข้างถนน กราบเวร กราบกรรม กราบภูตผี ปิศาจบอกว่าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์บูชาไฟ พระอรหันต์บ้าบอคอแตกหมดเลย เพราะอะไร เพราะมันว่างจากสัจธรรม
แต่เรามีสัจธรรมนะ พระอรหันต์หรือไม่พระอรหันต์ นี่พระอรหันต์เกิดขึ้นได้อย่างไร? อะไรทำให้เกิดเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์รู้อะไร? นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาได้อย่างไร? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามรรคญาณเข้าไปทำลายกิเลสอย่างไร? พอทำลายเสร็จแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนปัญจวัคคีย์ เห็นไหม มันพิสูจน์ได้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำได้ แล้วสัจธรรมอันนี้เวลาสอนต่อไปผู้ทำตามก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์.. เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร? เห็นไหม
มันมี! มันมีที่มาที่ไป ไม่ใช่พระอรหันต์อ้อนวอนขอร้อง กราบไหว้บูชาอะไรไปของเขา นั่นพระอรหันต์อะไร? นี่ให้เห็นว่าเวลามันว่างจากศาสนาแล้วเราจะเสียใจ
ปัจจุบันนี้กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ในสังคมกำลังตื่นตัวกันมาในการประพฤติปฏิบัติ แล้วเราก็เป็นคนๆ หนึ่ง แล้วเราจะปล่อยให้ชีวิตเรานี่ตายเปล่า ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ เกิดมาจะเจอพุทธศาสนาหรือไม่เจอก็ไม่รู้ แต่ในปัจจุบันนี้ชัดๆ จับต้อง พิสูจน์ ตรวจสอบ วัดใจเรา.. นี่ไปวัด ไปวัดเขาไปกันตรงนี้
ฉะนั้น มันจะทุกข์มันจะยาก.. ถ้าไปวัดใจทุกข์ยากนะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ อะไรไม่ได้ ก็วัดใจไง วัดใจ ดูสิมาตรวัด มันไม่ได้แล้วใจมันเป็นอย่างไรล่ะ? แต่ถ้ามันได้ เห็นไหม อะไรก็ได้ อย่างนั้นก็ไปตลาดก็ได้ สนามหลวงก็ได้ ถ้าวัดอย่างนั้นไม่ได้วัดใจตัว ไม่ได้พิสูจน์ความเข้มแข็งของใจเราเลย ถ้าไปวัดอย่างนั้นที่ไหนก็ไปได้ แต่เราจะไปวัดใจของเรา เราต้องมีกติกากับเราก่อน ที่สงบสงัดเราจะต้องเคารพสถานที่นั้น
เข้าวัดนะ วัดที่ครูบาอาจารย์อยู่เขาถอดรองเท้ามาตั้งแต่ปากประตูวัด เขาสงบเสงี่ยมเข้าไป เพราะมันไปกระทบกระเทือนในการกระทำของผู้ที่ทรงศีลทรงธรรม คนที่มีความรู้สึกนึกคิดเขาคิดกันอย่างนั้น ออกจากวัดไปเขาก็กลัวเศษฝุ่น เศษของจะติดตัวเขาไปจะเป็นบาปเป็นกรรม คนที่จิตใจเขาสูงส่ง คนที่จิตใจปานกลางเขาเข้ามาก็อีโล้งโฉ้งเฉ้งเข้ามาเลย ยิ่งคนหยาบๆ เข้ามาบอกวัดๆ วัดที่ไหนก็ไปได้ วัดก็คือที่สาธารณะ วัดต้องเปิดกว้าง
นี่ไงความรู้สึกนึกคิดของคน แล้วพระที่อยู่ที่วัดจะได้สัมผัสอย่างนี้ทุกวันๆ มันก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายเนาะ เวลาใครมาเจออารมณ์กำลังบูด คนนั้นก็โดนเด็ดขาด ฉะนั้น เรานี่เราวัดใจเรา ดูใจเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่พูดถึงไปวัด จิตใจสูงส่ง จิตใจต่ำนี่พฤติกรรมมันแสดงออก เอวัง